31/5/52

วัสดุไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์























ประเทศไทยในปัจจุบันจัดว่าเป็นประเทศที่ไ้ด้มีการกำลังพัฒนาครับ วัสดุเครื่องใช้ไฟฟ้า
และอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้มีบทบาทมากขึ้นในการช่วยในเรื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ
ในชีวิตประจำวัน เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่ผลิตขึ้นมาใช้งานโดยการนำวัสดุต่างๆ ซึ่งมี
คุณสมบัติในทางไฟฟ้ามาเป็นส่วนประกอบ

ความหมายของวัสดุไฟฟ้า
วัสดุที่นำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งวัสดุต่างๆเหล่านั้น
จะมีคุณสมบัติเฉพาะตัว เช่น เป็นตัวนำไฟฟ้า เป็นฉนวนไฟฟ้า เป็นวัสดุต้านทานไฟฟ้า
เป็นวัสดุกึ่งตัวนำ และเป็นแม่เหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้น ถูกสร้างขึ้นมาใช้
งานในชีวิตประจำวันเพื่ออำนวยความสะดวกสะบาย หรือนำมาสร้างเครื่องจักรในโรงงาน
อุตสาหกรรม

วัสดุในงานไฟฟ้า
1.ตัวนำไฟฟ้า (Conductor)
หมายถึง เป็นวัสดุที่ยอมให้ไฟฟ้ากระแสไหลผ่านได้ โลหะทุกชนิดในโลกเป็นตัวนำทั้งสิ้น
ยกเว้นอโลหะบางชนิดที่มีคุณสมบัติเป็นตัวนำ คือ น้ำ คาร์บอน ตัวนำไฟฟ้ามีหลายอย่าง

1.1 สายไฟฟ้า สายไฟฟ้าทำจากโลหะต่างๆ ที่่มีคุณสมบัติเป็นตัวนำไฟฟ้า เช่น เงิน ทองแดง
หรือ อลูมิเนียม โลหะแต่ละชนิดจะมีการนำไฟฟ้าหรือคุณสมบัติที่แต่ต่างกัน

1.2 ฟิวส์ เป็นอุปกรณที่ทำหน้าที่ตัดกระแสไฟฟ้า เพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้าลัดวงจร
และเกิดความเสียหายกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ โดยส่วนมาแล้วฟิวส์ทำจากโลหะผสม
ที่มีการหลอละลายต่ำ

1.3 สวิตช์ไฟฟ้า จะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ เปิด หรือปิด ไม่ให้กระแสไหลได้ครบวงจรเมือเราปิดอยู่
ถ้าเราเปิดสวิตช์จะกลายเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีมีความต้านทานคงที่ ทนต่อความร้อน แข็งแรง

1.4 ถ่านสำหรับงานไฟฟ้า หมายถึงแปรงถ่านซึ่งจะกดอยู่บนคอมมิเตเตอร์ เพื่อให้มีการสัมผัส
และกระแสไหลผ่าน ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นสามารถทำงานได้

2.ฉนวนไฟฟ้า (Imsulators)
วัสดุที่ไม่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน โดยนำฉนวนมาห่อหุ้ม หรือเครือบผิววัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ
เพื่อป้องกันอันตรายจาการใช้งาน

2.1 ไมก้า สามารถโค้งงอได้ ทนต่ออุณหภูมิได้สูง ใช้ห่อหุ้มลวดต้านทานไฟฟ้า
ในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่นำความร้อน

2.2 เซรามิก เป็นฉนวนที่แข็ง ทนต่อกรดด่างได้ดี ทนต่ออุณหภูมิได้สูง ใช้ทำอุปกรณ์ในงานไฟฟ้า

2.3 แก้ว เป็นฉนวนที่มีลักษณะเนื้อใส แข็ง เปราะ ทนต่อความร้อนสูง

2.4 กระดาษ เป็นกระดาษ ที่อาบแลกเกอร์ไว้จนอิ่มตัว นำมาวางลงในร่องก่อนพันลวดทองแดงในมอเตอร์ไฟฟ้า

2.5 พลาสติก เป็นพลาสติก Polyvinyl Choloridr (P.V.C) นำมาใช้หุ้มสายไฟฟ้าและสายเคเบิล

3. วัสดุต้านทานไฟฟ้า (Resistance)
หมายถึง โลหะที่ต้านทานต่อการไหลของกระแสไฟฟ้า เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน
ก็จะเกิดความร้อนขึ้นที่ตัวโลหะนัน เรานำวัสดุต้านทานมาใช้สร้างเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกิดความร้อน
ขึ้นในตัว เช่น หม้อหุ่งข้าว กาต้มน้ำร้อน เตารีดไฟฟ้า เป็นต้น

4. วัสดุกึ่งตัวนำ (Semi Comductor)
มีความสำคัญในการนำมาใช้ผลิตทรานซิสเตอร์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ ทางไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์
โดยนำมาสร้างแผงวงจร เครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ วัสดุกึ่งตัวนำที่สำคัญมี 2 ชนิดคือ

4.1 วัสดุกึ่งตัวนำชนิดเอ็น (N - Type)
4.2 วัสดุกึ่งตัวนำชนิดพี (P - Type)

5. วัสดุแม่เหล็ก (Magnet)
หมายถึง เหล็กที่มีอำนาจในการดึงดูดโลหะที่เป็นเหล็ก ซึ่งอำนาจของแม่เหล็กที่เกิด
จากการจัดเรียงตัวของโมเลกุลในเนี้อเหล็กอย่างเป็นระเบียบ

5.1 แม่เหล็กถาวร (Permanent Magnet)
5.2 แม่เหล็กชั่วคราว (Temporary Magnet)

30/5/52

การผสมคอนกรีต





























คอนกรีต (Concrete)



เป็นวัสดุที่มีการผสมในส่วนต่างๆ คือ ปูนซีเมนต์ ทราย หิน กับ น้ำ แล้วนำมาผสมคลุกเคล้า
ให้เขากันในอัตราส่วนที่กำหนด แล้วนำไปเทลงแบบหล่อที่เตียมไว ตามรูปร่างแบบที่ต้องการ
หลังจากที่เทลงไปในแบบสักพัก ก็จะกรายเป็นของแข็งซึ่งที่เราเรีัยกว่าคอนกรีต และสามารถ
รับน้ำหนักได้มากขึ้นใช้ได้ตามอายุของคอนกรีต

การผสมคอนกรีต

การผสมคอนกรีต เป็นการผสมคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน เป็นเนื้อเดียวกัน และมีวิธีทำ
อยู่ 2แบบ คือ

1. การผสมด้วยแรงคน มีขั้นตอนการทำดังนี้
1.1 ตวงวัสดุต่างๆ ลงในกะบะผสม
1.2 คลุกเคล้าให้เข้ากัน
1.3 โรยน้ำ ลงไปให้ทั้ว แล้วปล่อยให้น้ำซึมซาบขณะผสมให้มันเป็นเนี้อเดียวกัน

2. การผสมโดยการใช้เครื่อง
2.1 ตวงวัสดุต่างๆ บรรจุในโม่
2.2 เติมน้ำ และผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน

ส่วนผสมคอนกรีต

ส่วนผสมของคอนกรีต หมายถึง ปูนซีเมนต์ : ทราย : หิน ส่วนผสมของคอนกรีต ที่ใช้ในปัจจุบัน
มีอยู่2 อย่าง

1. โดยปริมาตร โดยการใช้ภาชนะทำการตวงวัสดุต่างๆ
2. โดยน้ำหนัก โดยการชั่งวัสดุ ให้มีความแน่นอนกว่า
ส่วนผสม 1:1:2 สำหรับที่ต้องการรับแรงได้สูง
ส่วนผสม 1:2:4 สำหรับงานทั่วไป
ส่วนผสม 1:2:5 สำหรับงานรากฐานอาคาร

การทำคอนกรีตให้แน่น

เพื่อไม่ให้คอนกรีตที่เราทำขึ้นมีโพรงอากาศ และเกิดรูพรุน ครับ เมื่อแข็งตัวมีกำลังในการรับน้ำหนักได้เต็มที่
มีผิวเรียบ เมื่อถอดแบบ ลดการหดตัวและป้องกันน้ำซึมได้ดีด้วย
1 . การกระทุ้งคอนกรีตด้วยมือ (Hand Tamping)
2. การใช้เครื่องสั่นคอนกรีต (vibrator) ในการใช้งานที่ต้องการกำลังคอนกรีตสูง หรืองานที่มี
เหล็กเสริมถี่มากทำให้การเทลำบาก

การบ่อมคอนกรีต
เป็นการป้องกันมิให้น้ำที่เหลือจากการทำปฎิกิริยากับปูนซีเมนต์ระเหยออกมาจากคอนกรีตที่แข็งตัง
เร็วเกินไป เำพื่อให้ได้คุณสมบัติในการรับแรงของคอนกรีตตามที่เราต้องการ และระยะเวลา
ในการบ่มคอนกรีตจะขึ้นอยูกับชนิดของปูนซีเมนต์ที่ใช้ส่วนผสมคอนกรีต

การทำปูนซีเมนต์ (Cement)



















ซีเมนต์ หมายถึง สารที่สามารถยึด หรือประสานของแข็งให้สามารถยึดติดเป็นเนื้อเดียวกันได้
ในการก่อสร้างในสมัยโบราณนั้น จะใช้หินก้อนโตๆ มาเรียงซ้อนกัน โดยใช้มอร์ต้า (mortar)
มาเป็นตัวประสานให้ก้อนหินนั้นติดกัน วัสดุที่นำมันผสมคือ ปูนขาวผสมน้ำ
จนมาถึงในยุคปัจจุบันได้มีการพัฒนามาเป็นใช้ปูนซ๊เมนต์ ในการก่อสร้างสถาปัตยกรรมต่างๆ

การวีธีการผลิตปูนซีเมนต์

หินปูนนี่ได้มาจากการระเบิดภูเขา ส่วนหินเชลหรือดินเชล และแร่เหล็กก็จะถูกย่อย แล้วกองไว้
วัตถุดิบที่กองไว้จะถูกส่งเขาหม้อบดที่เป็นแบบ Vertical Mill โดยใช้วัสดุอัตราส่วนของวัตถุดิบแต่
ละชนิดตามที่คำนวน และใช้คอมพิวเตอร์ในการควบคุม วัตถุดิบส่วนที่ละเอียดจะถูกเก็บไว้ในไซโล
ที่หยาบจะถูกส่งกลับไปที่หม้อบดอีกครั้ง เพื่อให้ส่วนผสมสม่ำเสมอกัน วัตถุดิบที่ผสมเข้าด้วยกันแล้ว
จะถูส่งไปที่หออบความร้อน เพื่อไล่ความชื่นในวัตถุดิบออก วัตถุดิจะละลายตามอุณหภูมิสูง 1,450
องศาเชลเซียส ปูนเม็ดจะทำให้เย็นตัวอย่างรวดเร็วโดยการใช้ลมเป่า ปูนเม็ดที่เย็นตัวลงแล้ว
จะถูกนำไปเก็บไว้ในไซโลปูนเม็ด และจะถูกนำไปหม้อบด (Cement Mill) โดยเติมยิปซัมลงไป
ประมาณ 4-5% เพื่อให้ปูนแข็งตัวช้าลง


ปูนซีเมนต์ชนิดต่างๆ


1. ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ธรรมดา ประเภทที่1

เหมาะสำหรับใช้ผสมคอนกรีต ที่ต้องการกำลังอัดของคอนกรีตสูง เช่น ถนน สะพาน เขื่อน

2. ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ประเภทที่3

เหมาะสำาหรับงานคอนกรีตที่ต้องใช้การรับแรงอัดได้เร็วขึ้น เช่น ทำเสา้เข็มคอนกรีต

3.ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ประเภทที่ 5

เหมาะสำหรับใช้งานทำคอนกรีต ซึ่งต้องการความทนทานต่อ
การสึกกร่อนเนื่องจากซัลเฟต เช่น งานสร้างอาคารใกล้ทะเล

4. ปูนซีเมนต์ผสม

จะเป็นปูนที่ผสมวัสดุ เช่น ทราย หรือหินปูนบดละเอียดด้วย ทำให้ราคาถูกลง เหมาะสำหรับงานก่ออิฐ
และงานฉาบปูน เพราะมันยึดเกาะได้ดี

5.ปูนซีเมนต์ขาว

สำหรับใช้งานปูและยา แนวกระเบื้อง งานตกแต่งอาคาร ห้องน้ำ สระว่ายน้ำ หอนขัด ที่ต้องการความ
สะอาดและต้องการความแข็งแรงคุมค่า

วัสดุก่อสร้างไม้





















วัสดุก่อสร้างนะครับ จะเป็นงานสถาปัตยกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ตั้งแต่ในอดีด
จนถึงปัจจุบัน มนุษย์นั้นก็นำวัสดุต่างมาใช้งาน และยังนำวัสดุบางอย่างที่เป็นส่วนประกอบ
เพื่อให้ สิ่งที่ก่อสร้างนั้นมีความสวยงามมากขึ้นครับ ส่วนที่นำมาใช้งาน จะเป็นวัสดุจาก
ธรรมชาติ และวัสดุสังเคราะห์ ซึ่งที่เราชอบเรียกกันว่า วัสดุก่อสร้างครับ

ความหมายของวัสดุก่อสร้าง

วัสดุต่างๆ ทั้งที่ได้จากธรรมชาติ และที่ได้จากการสังเคราะห์ขึ้น เช่น ไม้
ปูนซีเมนต์ สี แก้ว เป็นส่วนประกอบของงานทางสถาปัตยกรรม ที่ได้สร้าง
สรรค์ ขึ้นมาเพื่อความสะดวกสบายหรือเพื่อประกอบพิธีการต่างๆ เช่น อาคารสถานที่ ต่างๆ ศาลา สะพาน ถนน เป็นต้น

วัสดุก่อสร้างชนิดต่างๆ

1. Wood
เป็นวัสดุที่มีการเพิ่มโดยการเจริญเติบโต มันอาจจะสามารถเกิดขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ โดยมนุษย์
ได้รู้จักการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และมีการนำมาใช้งานกันมานานแล้วตั้งแต่ในสมัยโบราณ
ไม้ที่เรานำมาใช้งานนั้นจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของคุณสมบัติ สีสัน ความแข็งแรง ในปจจุบัน
ไม้ที่เรานำมาใช้งานเริ่มมีจำนวนลดน้อยลงทำใ้ห้จึงต้องมีการสงวนและปลูกป่าทดแทน
และจะต้องใช้เวลาในการปลูกประมาณ40-50 ปีถึงจะนำมาใช้งานได้ครับ

ไม่แบ่งอกกได้ 3 ชนิด คือ
1.1 ไม้เนื้ออ่อน
ไม้ทีมีน้ำหนักเบา รับแรงได้น้อย เนื้อหยาบ โดยทั่วไปแล้วนำไปใช้งานชั่วคราว
เช่น ทำไม้แบบหล่อคอนกรีต แผ่นป้ายโฆษณา
1.2 ไม่เนื้อปานกลาง
ไม้ที่มีความแข็งปานกลาง จะมีเนื้อละเอียด เหมาะสำหรับนำมาใช้สร้างเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือนต่างๆ
โต๊ะ ตู้ เตียง ได้แก่
1.3 ไม้เนื้อแข็ง
ไม้ที่มีความแข็งแรงสูง ทนทาน เหมาะสำหรับนำมาใช้สร้างอาคาร เช่น เสา คาน พื้น

การซื้อขายไม้

1.ขายเป็นลูกบาศก์ฟุต หรือยก
ไม้ 1 ยก = 17.78 ลูกบาศก์ฟุต หรือไม้กว้าง 24 นิ้ว หนา 1 นิ้ว ยาว16 วา
2. โดยการชั้งน้ำหนัก

สาเหตุที่ทำให้ไม้เสียหาย

1.แมลง เช่น ปลงก มอด สัตว์พวกนี้จะเป็นสัตว์ที่ชอบกินเนื้อไม้เป็นอาหาร จึงทำใ้ห้เนื้ไม้
ถูกทำลาย

2.ความชื้นในอากาศ ทำให้เกิดเชื้อรา และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เนื้อไม้ถูกทำลาย

3.อุณหภูมิ ลมฟ้าอากาศ สาเหตุทำให้ไม้เกิดการขยายตัวและหดตัว ทำให้เกิดรอยแตกปริขึ้น
และอาจขยายมากขึ้นทำให้เกิดความเสียหายกับไม้

4.ไฟ เป็นตัวการสำคัญที่ทำรายไม้ทุกขั้นตอน แม้แต่ไม้ที่อยู่ในป่าก็ถูกทำลายเหมือนกัน เช่นไฟป่า

วัสดุหล่อลื่น (LUBRICANTS)


วัสดุหล่อลื่น เป็นวัสดุที่จะนิยมใช้ในงานอุตสาหกรรมเป็นส่วนมาเพราะ จะช่วยในงานปฎิบัติงาน
เิพื่อทำให้เครื่องจักรกล หรือเครื่องยนต์ สามารถทำงานได้อย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยัง
ช่วยลดการสึกหรอ

วัสดุหล่อเย็น (lubricants)

ความหมายของวัสดุหล่อลื่น

วัสดุหล่อลื่น ซึ่งจะเคลือบเกาะอยู่กับผิวหน้าสัมผัสของชิ้นส่วนเครื่องจักรกลที่ มีการเคลื่อนไหว
เพื่อที่ไม่ใ้ห้หน้าสัมผัสกันโดยตรง จะได้ช่วยลดการสึกหรอของชิ้นงาน เครื่องจักรกลได้มากครับ

คุณสมบัติของวัสดุหล่อลืน

1. ความหนืด (Viscosity) คือ ความข้นใสของน้ำมันหล่อลื่นนะครับ ถ้าอุณหภูมิต่ำน้ำมัน
จะข้นให้เยื่อหล่อลื่นหนา ในการพิจารณาความหนือของน้ำมันหล่อลื่นที่จะใช้นั้น จะต้อง
รู้สภาพและำการใช้ของเครื่องเพราะการใช้งานของแต่เครื่องจะไม่เหมือนกัน

2.ดัชนีความหนืด (Viscosity lndex )

น้ำมันที่มีดัชนีความหนืเสูง จุดเปลื่ยนแปลงความหนืดน้อยเมื่อมีอุณหภูมิการใช้งาน
เปลื่ยนไป ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีัของน้ำมันหล่อลืน น้ำมันที่มีดัชนีความหนืดต่ำ ในขณะ
ที่อุณหภูมิต่ำน้ำมันจะมีความหนือสูงทำให้ ชิ้นส่วนเครื่องจักรจะเคลื่อนไหวลำบาก เมื่อล
เราน้ำไปใช้งานระยะหนึ่งครับ
3. การรวมตัวกับออกซิเจน (Oxidation)

น้ำมันหล่อลื่นทำปฎิกิริยากับออกซิเจน ทำให้เป็นกรดยางเหนียวล

4.จุดวาบไฟ (Flash Point )

อุณภูมิทที่น้ำมันหล่อลื่นกลายเป็นไิอ พร้อมที่จะจุดเป็นไฟ และจะวาบไฟจะมีความสำคัญ
ต่อการป้องกันไฟไหม้

5.จุดเทไหล (Pour Point )

อุณหภูมิต่ำกว่าจุดไหลเทของน้ำมันหล่อลื่น ทำให้น้ำมันไหลได้ยากซึ่งจะทำให้การหล่อลื่นต่างๆ
ไม่สมบูรณ์

28/5/52

ความหมายของเชื้อเพลิง

























ในประเทศของยังต้องการใช้เชื้อเพลิงเป็นจำนวนมาก เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศ
เชื้อเพลิงเป็นที่สำคัญ ในการขยายตัวของเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็วและมีการ
นำเชื้อเพลิงมาใช้งานในด้านต่างๆ เช่นในงานอุตสาหกรรม การขนส่งและคมนาคม

ความหมายของเชื้อเพลิง

วัสดุที่มีองค์ประกอบของคาร์บอน และไฮโดรเจน เชื้อเพลิงเมื่อเผาไหม้จะทำปฎิกิริยาทาง
เคมีกับออกซิเจนทำให้เกิดพลังงานสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

ประเภทของเชื้อเพลิง

1.เชื้อเพลิงแข็ง (Hard Fuel)

เชื้อเพลิงนี้นะครับจะเป็นเชื้อเพลิงแข็ง จะประกอบด้วยธาตุที่สำคัญคือ คาร์บอน
ไฮโดรเจน ไนโตเจน และกำมะถัน

2.เชื้อเพลิงเหลว (Liquid fuel)
เชื้อเพลิงนี้จะเป็นแบบของเหลวครับ และจะสามารถจุดติดไฟได้ครับ และจะให้พลังงานได้
เช่น น้ำมันที่ได้จากสัตว์ หรือ น้ำที่ได้จากปิโตรเลียม

3.เชื้อเพลิงก็าซ (Gas Fuel ) ก็าซทุกชนิดที่ทำปฎิกิริยากับออซิเจน แล้วเมื่อเกิดการเผาไหม้
ทำให้มีพลังงานความที่จะสามารถนำไปไช้ประโยนช์ได้

โลหะผสม

ในปัจจุบันอุตสาหกรรมต่างๆ ก็ได้มีการเริ่มพัฒนาขึ้นมากครับ โดยการนำ
เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาช่วยในการดำเนินการ ทำให้ธุรกิจสามารถเพิ่มผลผลิตได้
และยังลดต้นทุนของการผลิตอีกด้วยในการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมนำ
ทำมีการผลิตคิดค้นโลหะผสมที่มีคุณสมบัติต่างๆสามารถนำมาใช้งานได้อย่างมี
ประสิทธิภาพครับ

ความหมายของโลหะผสม
โลหะผสม คือ การนำโลหะตั้งแต่สองชนิดมาหลอมละลายเข้าด้วยกัน
ทำใ้ห้โลหะทั้งสองชิ้นรวมเป็นเนื้อเดี้ยวกันครับ

โลหะผสมชนิดต่างๆ

1. ตะกั่ว (Lead Alloy) เป็นโลหะที่มีเนื้ออ่อน มีความหนาแน่นสูง และจะมีความแข็งแรง
น้องลงเมื่อนำโลหะอื่นมาผสม

2ทองแดงผสม (Beass) จะผสมระหว่างทองแดงกับ สังกะสี โดยจะมีส่วนของสังกะสีผสมอยู่
ประมาณ 10-40%

3.นิกเกิลผสม (Nickel Alloy) นิกเกิล เป็นโลหะที่เป็นสีขาว เนื้อเหนียว ทนต่อการกัดกร่อนได้ดี
เหมาะที่จะนำไปใช้งานในอตสาหกรรมต่างๆ

4.ดีบุกผสม (Tin Alloy) ดีบุก สามารถต้านทานต่อการกัดกร่อนได้ดี นำมาใช้ทำโลหะเคลื่อบผิว
เพื่อป้องกันการกัดกร่อน

5.สังกะสีผสม (Zinc alloy) จะมีจุดหลอมเหลวที่ต่ำ และทนต่อการกัดกร่อนได้อีกด้วยครับ โหละชนิดนี้
นิยมนำไปใช้ทำ ท่อประปา เหล็กแผ่น

6.อะลูมีเนียมผสม (Aluminium Alloy) เป็นโลหะเบา เนี้อจะเหนียว นิยมนำมาใช้งานมากที่สุดในบรรดาโลหะเบา
และจะเหมาะกับการนำมาใช้งานอุตสาหกรรมครับ